Hot Stories
Home   /   Hot Stories  /   MFC นำระบบการเงินอิสลามโลกรุกกองทุนชาริอะห์

ตอนที่1- MFC นำระบบการเงินอิสลามโลกรุกกองทุนชาริอะห์

                สำนักข่าวอะลามี่ :  “MFC” รุกตลาดกองทุนตามหลักศาสนาอิสลาม MIF-LTF  แม้ว่าในประเทศไทย จะได้รับความสนใจน้อย แต่พบว่ามีอัตราที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยนำหลักเกณฑ์มาตรฐานการเงินอิสลามโลกมาวางระบบ หวังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าชาวมุสลิมและผู้สนใจ

              นางพัณณรัชต์ บรรพโต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายบริหารกองทุน  บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า  ปัจจุบันบริษัทมีกองทุนจำนวนมากกว่า100 กองทุน โดยในจำนวนดังกล่าว มีกองทุนที่บริหารจัดการตามหลักการศาสนาอิสลาม (หลักชารีอะฮ์) มีอยู่ 3 กองทุน  คือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีอิสลามิกหุ้นระยะยาว (MIF-LTF)   กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีอิสลามิกฟันด์ (MIF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Master Fund นโยบายการลงทุนในกองทุนรวม MIF   ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับกองทุนอื่นที่บริษัทบริหารอยู่ แต่แนวโน้มเชื่อว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง

            สำหรับหลักทรัพย์ของกองทุนที่บริษัทดำเนินการตามหลักการศาสนาอิสลามลงทุน   จะต้องผ่านตามหลักเกณฑ์สำคัญ2ประการ คือ หลักเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นตาม FTSE SET Shariah Index ซึ่งหุ้นที่ถูกเลือกนั้นจะต้องผ่านเกณฑ์การดำเนินธุรกิจและเกณฑ์โครงสร้างทางการเงิน ซึ่งเกณฑ์การดำเนินธุรกิจต้องไม่ลงทุนในธุรกรรมดังนี้

            1.ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือประกันภัย ที่ไม่ได้ดำเนินการตามหลักศาสนาอิสลาม 2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ 3.ธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับสุกร 4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบันเทิง  เช่น คาสิโน การพนัน  5.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ และ 6 ธุรกิจทีเกี่ยวข้องกับการผลิตหรือจำหน่ายอาวุธ

           นอกจากนี้    หลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์ตามข้อแรกแล้ว จะต้องมีโครงสร้างทางการเงินดังนี้  ส่วนของหนี้ต้องน้อยกว่า 33% ของสินทรัพย์รวม ส่วนของเงินสดและดอกเบี้ย ต้องน้อยกว่า33%ของสินทรัพย์รวม นอกจากนี้สัดส่วนของบัญชีลูกหนี้และเงินสด ต้องน้อยกว่า 50% ของสินทรัพย์รวมและสุดท้ายดอกเบี้ยรวมและรายได้อื่นๆ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ไม่ควรเกิน 5% ของรายได้รวม

           “จะเห็นได้ว่า หลักเกณฑ์ในส่วนแรกนี้จะช่วยให้นักลงทุนที่นับถือศาสนาอิสลามนั้นสามารถลงทุนได้ เพราะบริษัทที่ผ่านเกณฑ์นั้นมีการดำเนินธุรกิจที่ไม่ขัดต่อหลักการศาสนา และเกณฑ์ในเรื่องโครงสร้างทางการเงินนั้นยังส่งผลให้ หุ้นที่เลือกมา มีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง การบริหาร Cash flow มีประสิทธิภาพและมีโอกาสเติบโตในอนาคตค่อนข้างสูง เพราะการมีD/E ที่ต่ำ  ทำให้การหาเงินทุนเพื่อการขยายกิจการในอนาคตได้ง่ายขึ้น” นางพัณณรัชต์ กล่าว

          สำหรับหลักเกณฑ์ด้านที่สอง เป็นการคัดเลือกหุ้นตาม MFC Criteria  โดยมองในเกณฑ์ของมูลค่าตลาด โดยแยกตามขนาดของกองทุน ขนาดใหญ่ (L) มีมูลค่าการตลาดไม่น้อยกว่า 10,000ล้านบาท ขนาดกลาง(M) มูลค่าการตลาดไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท และขนาดเล็ก (S) ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังดูในเรื่องของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ไม่น้อยกว่า1ล้านบาท/วัน และอื่นๆ

           ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยให้หุ้นที่ผ่านการคัดเลือกนั้นมีความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่อง(Liquidity) ที่ต่ำจะช่วยลดความผันผวนจากการขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้การแบ่งหุ้นออกเป็น 3 กลุ่ม  ตามขนาดมูลค่าราคาตลาด คือ  S,M และ L จะทำให้ผู้จัดการกองทุนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง และไม่ลงทุนในหุ้นตัวเล็ก ที่มักมีความผันผวนสูงมากจนเกินไป

            ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายบริหารกองทุน  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน) กล่าวอีกว่า ในปีนี้  การบริหารกองทุน MIFLTF  มีผลการดำเนินงานโดดเด่น เนื่องจากหลังจากกลุ่มหุ้นดังกล่าวผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์ข้างต้นแล้ว หุ้นดังกล่าวจะถูกนำมาผ่านกระบวนการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ (Quantitative Model) โดยประกอบด้วย MFC Factor model ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นำปัจจัยเชิงปริมาณที่สำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์มาวิเคราะห์ ข้อมูลตัวเลขเชิง Fundamental และตัวเลขเชิง Technical รวมถึงการมองย้อนไปในอดีต

            “เราใช้เทคนิคทางตัวเลขและตัวประวัติของหุ้น จะทำให้ผู้จัดการกองทุนไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ หรือยึดติดกับประสบการณ์หรือยึดติดกับหุ้นที่ตนเองคุ้นเคย หรือลดความกังวลในการเข้าไปลงทุนในหุ้นใหม่ๆ”นางพัณณรัชต์ กล่าว

           นอกจากนี้บริษัทยังใช้เครื่องมือด้านความเสี่ยงที่พัฒนาเองภายใน คือ   MFC Risk  ซึ่งเป็นเครื่องมือให้ความสำคัญกับปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทย โดยจะมีทีมพิจารณาความเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้วแปลงเป็นตัวเลข เพื่อเตือนผู้จัดการกองทุนให้ลดหรือเพิ่มน้ำหนักของการลงทุนในภาพรวม ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวจะประโยชน์มากในช่วงตลาดขาลง เพราะจะทำให้การตัดสินใจเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุน ไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป  จะเพิ่มความถูกต้องแม่นยำในการตัดสินใจมากขึ้น