Life style
Home   /   Life style  /   ปรัชญาจากหนัง: ไร้นาม

INTO THE WILD 

ฺBy: ไร้นาม

 " Happiness is only real when shared " ความสุขที่แท้จริง คือการมีโอกาสได้แบ่งปัน

                  +++++++++++

                 จัดเป็นหนังทรงพลังแห่งทศวรรษเลยทีเดียว เข้าฉายในปี 2007 เป็นหนังขวัญใจของผู้คนมากมาย ที่ค้นหาอิสระภาพและความหมายของชีวิต

               ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของนักแสดงมากรางวัลอย่าง Sean Penn (จาก Milk, Mystic River, I Am Sam)  ดัดแปลงบทภาพยนตร์มาจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ  Jon Krakauer  ซึ่งเขานำมาจากเรื่องจริงเป็นบันทึกส่วนตัวของ คริสโตเฟอร์ แม็คแคนเลส ( Emile Hirsch ) หลังจากศพถูกค้นพบในรสบัสสีเขียวนั้นจริงๆ

             หนังเล่าเรื่องราว การออกตามล่าหาความฝัน การแสวงหาความหมายของชีวิต และการปลดเปลื้องทุกอย่างรอบกายเพื่อเข้าถึงเสรีภาพที่แท้จริงจากแก่นแท้ของจิตวิญญาณที่เรียกว่ามนุษย์     

             หากกล่าวอย่างกระชับมันคือการใช้ชีวิตที่หลุดกรอบของสังคมเด็กหนุ่มวัย 23 ปี  เพื่อออกตามล่าหาความหมายของชีวิตที่เขาเชื่อว่า คือการได้ไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรใน อลาสก้า ดังนั้นทันทีที่เขาเรียนจบในระดับปริญญาตรี เขาจึงตัดสินใจทิ้งชีวิตของเขาทุกๆ อย่าง และออกเดินทางไป อลาสก้า โดยแทบไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว

             ในระดับองค์ประกอบของภาพนั้น Into The Wild สร้างความหมายให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความวิเศษในเรื่องของความสวยงามของธรรมชาติ มุมกล้องในระดับสูงมากๆ เพื่อครอบคลุมการมองเห็นของทิวทัศน์ของผู้ชม ให้รู้สึกคล้อยตามไปกับตัวละคร ที่มองเห็นธรรมชาติเป็นสิ่งสวยงาม และให้ความหมายกับกล้อง ในการสร้างความสัมพันธ์อึดอัดกับครอบครัวของเขาระหว่างพ่อแม่ เพื่อให้รู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าอึดอัด และกระอักกระอ่วนใจมิใช่น้อย

ความสุขจะเป็นจริงเมื่อถูกแบ่งปันกับผู้อื่น  " Happiness is only real when shared " เป็นบทเรียนสุดท้ายที่ คริส นึกขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียมากกว่าที่เขาคาดคิดก็ตาม ถึงแม้ว่าการเดินทางที่เราจะได้สัมผัสนั้น จะมีความยาวเพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่เราจะได้รับนั้น มีคุณค่าสำหรับชีวิตคนทั้งชีวิตเลยทีเดียว

             สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำนั่นคือ การใช้ดนตรีและบทเพลงประกอบ ซึ่งเชื่อเหลือเกิน บทเพลงที่ถูกยกนำมาใช้สร้างความหมายให้ภาพยนตร์รุดหน้าไปจนเข้าใกล้ระดับมาสเตอร์พีซ ในใจของผู้ชมหลายๆ คน

หนังเรื่องนี้แม้จะยาวมาก แต่ดูไม่เบื่อเลย ลงตัวทั้งดนตรีประกอบเพราะมาก เข้ากับหนังได้ดี มีปรัชญา แง่คิด คำคมที่แทรกลงเหมาะสมตามจังหวะของเนื้อเรื่อง

            นี่คือหนังอีกเรื่อง ที่ดูจบแล้วมันไม่จบ ไปอีกหลายวัน..........ระดับความน่าดู 5 ดาวเต็ม ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง !!!

 ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยสาร ดิ อะลามี่ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2558