Hot Stories
Home   /   Hot Stories  /   ผ่าขุมทรัพย์“ผลประโยชน์”เจ้าหน้าที่ชายแดนใต้

ผ่าขุมทรัพย์ “ผลประโยชน์” ของเจ้าหน้าที่ชายแดนใต้

" ไชยยงค์ มณีพิลึก" รายงาน

              สำนักข่าวอะลามี่: ในวันที่ประเทศชาติกำลังประสบกับสึนามิ “น้ำจืด” ซึ่งเป็นมหาอุทกภัยกินพื้นที่กว่า 30 จังหวัด เสียหายเป็นแสนๆล้าน หรือนับ “อสงไข” เป็นเวลาแห่ง “โศกนาฏกรรม” ของเพื่อนร่วมชาติ ที่ประเทศต้องการเห็นความร่วมมือ ความรัก ความสามัคคี จากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยกัน “กอบกู้” วิกฤติชาติให้กลับมาโดยเร็วนั้น

 

             ที่ชายแดนของภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ “จมจ่อม” อยู่กับปัญหาความไม่สงบ ที่ 7 ปีกว่า มีคนตายไปแล้ว 4,000 กว่าคน บาดเจ็บอีกกว่า 10,000 คน และยังจะมีผู้ตาย “รายวัน” เพื่อสังเวยสถานการณ์ความขัดแย้งของ “สงครามประชาชน” ไปอีกนานเท่านาน เนื่องจากท่ามกลางความ “วิกฤติ” ในครั้งนี้ หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานในพื้นที่ ไม่เคยร่วมมือกันเพื่อ “รู้รัก สามัคคี” ในการร่วมกันดับ “ไฟใต้” ที่หลายหน่วยงานต่างใช้ “วิกฤติ” เป็น “โอกาส” ในการตักตวงผลประโยชน์ เพื่อความ “มั่งคั่ง” ของตนเองทั้งสิ้น

             ผลประโยชน์แรกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ “ยาเสพติด” ที่ระบาดเต็มพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 ชนิด คือ ยาเสพติด “ท้องถิ่นนิยม” ซึ่งมีองค์ประกอบจากใบกระท่อม ยาแก้ไอ น้ำอัดลม และสารอื่นๆ ที่นำมาผสม และเรียกว่า เป็นยาเสพติดชนิด “สี่คูณร้อย” ที่ขณะนี้กลายเป็น “สินค้า” ยอดนิยม ที่มีจำหน่ายจาก “หมู่บ้าน” สู่ทุกมุมเมือง

              องค์ประกอบสำคัญของยาเสพติด “ท้องถิ่นนิยม” ที่เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเข้าไปมีผลประโยชน์ คือ “ใบกระท่อม” ที่มีการค้ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งจากในประเทศ และจากต่างประเทศ คือ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเส้นทางการลำเลียงทุกเส้นทางต้อง “จ่าย” เงินให้กับเจ้าหน้าที่มากกว่า 4 หน่วยงาน

               และที่เจ้าหน้าที่กว่า 4 หน่วยงาน เรียกเก็บ “ส่วย” อย่างเป็นกอบเป็นกำ คือ “ส่วย” ยาแก้ไอ ซึ่งเป็นสารสำคัญในการผลิต “สี่คูณร้อย” ร้านขายยาตั้งแต่ระดับ “จังหวัด” จนถึง “หมู่บ้าน” ต้องจ่าย “ส่วย” ยาแก้ไอให้กับเจ้าหน้าที่มากน้อยแล้วแต่ “สินค้า” ที่ครอบครองอยู่  ซึ่งโดยข้อเท็จจริงยาเสพติด “ท้องถิ่นนิยม” จะหมดไปจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ทันทีที่ไม่มี “ใบกระท่อม” และไม่มี “ยาแก้ไอ”   แต่ที่ “ยาแก้ไอ” และ “ใบกระท่อม” ยังมีอยู่ทุกหัวระแหงของแผ่นดิน “ด้ามขวาน” เป็นเพราะ เจ้าหน้าที่รับ “ส่วย” โดยไม่เคยคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

               เช่นเดียวกับ ยาเสพคิดระดับ “สากล” นั่นคือ ยาบ้า และ ยาไอซ์ ที่มี อ.หาดใหญ่ เป็น “ศูนย์กลาง” กระจายสินค้า และมีพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ “เก็บกัก” เพื่อการ “ส่งออก” ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางบก และ ทางเรือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปปส. ต่างมีบัญชีรายชื่ออยู่ในมือ โดยเฉพาะกลุ่ม “เต็นท์รถ” กลุ่ม “การเมืองท้องถิ่น” และ กลุ่มผู้นำท้องถิ่น กลุ่มนักธุรกิจเมืองชายแดน แต่เจ้าหน้าที่ไม่เคยมีแผนในการกวาดล้างจับกุม แต่ใช้วิธีการเก็บ “ส่วย” รายเดือน จาก “เอเย่นต์” ยาเสพติดเหล่านี้ และเป็น “ส่วย” ที่ “มหาศาล” ที่สุด

             “น้ำเถื่อน” คือ “ผลประโยชน์” มหาศาลที่เกิดขึ้นในยุคที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นรัฐบาล มีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางบก และ ทางทะเล คิดเป็นเงินวันละ 300 ล้านบาท และน้ำมันเถื่อนทุกลิตรต้องจ่าย “ส่วย” ให้ ศุลกากร สรรพสามิต ตำรวจ ทหาร และ ปกครอง รวมทุกหน่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 6 บาท ต่อลิตร ต่อครั้ง ที่นำเข้า ซึ่งมีการประมาณการว่า มีการจ่าย “ส่วย” น้ำมันเถื่อนให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยในจังหวัดชายแดนภาคใต้วันละ 21 ล้านบาท และเพราะปัจจัยนี้เองที่ทำให้ “น้ำมันเถื่อน” ไม่ถูกปราบปราม แม้ว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะประกาศว่า “น้ำมันเถื่อน” เป็นภัย “ทับซ้อน” เพราะ เงินส่วนหนึ่งถูกส่งให้ “แนวร่วม” ใช้ในการก่อความไม่สงบ ก็ไม่มีหน่วยงานใดให้ความร่วมมือในการปราบปราม เหตุผลเพราะ “เม็ดเงิน” จำนวนมหาศาลยัง “หอมหวน” กว่าความ “อยู่รอด” ของชาติ นั่นเอง

              ผลประโยชน์ต่อไปของเมืองชายแดน เช่น สงขลา สตูล  นราธิวาส และ ยะลา คือ สารพัดสินค้าเถื่อน เหล้า บุหรี่ สินค้าห้ามนำเข้า เช่น อุปกรณ์เลื่อยยนต์ เนื้อวัว เครื่องในสัตว์ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งกลายเป็น “ส่วย” มหาศาล ที่ศุลกากรเมืองชายแดน “เล่นกล” ด้วยการกำหนดให้มีการจ่ายภาษี “ปากระวาง” โดยให้ผู้นำเข้าขนมนมเนย ผลไม้แห้ง ผลไม้สด ของขบเคี้ยว บรรทุกเข้ามาเต็มคันรถ โดยการ “สำแดง” ว่า เป็นสินค้าที่จ่ายภาษี “เหมาจ่าย” ปากระวาง ต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร แต่โดยข้อเท็จจริงสิ่งของข้างบน คือ สินค้าที่เสียภาษี “ปากระวาง” ได้ตามกฎหมาย แต่สินค้าที่ซ่อนอยู่ภายในรถกลับเป็น เหล้า บุหรี่ เนื้อสัตว์ และอื่นๆ ซึ่งหลายอย่างห้ามนำเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด

              ขบวนการนี้จึงเป็นขบวนการค้าระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับขบวนการขนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้รถ “แท็งเกอร์” ที่มีระวางบรรทุก 36,000 ลิตร ต่อคัน ที่ซื้อน้ำมันดีเซล หรือ เบนซิน มาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีราคาถูกกว่าบ้านเราลิตรละ 20 บาท และนำสีดำผสมลงไป โดยสำแดงเท็จว่า เป็นน้ำมันที่เสียแล้ว และขนส่งไปยังประเทศลาวหรือประเทศอื่นๆ แต่โดยข้อเท็จจริงมีการนำน้ำมันไปขายในประเทศ โดยการผสมสีกลับไปให้เป็นสีเดิม และส่งเพียงเอกสารผ่านแดนไปยังประเทศลาวหรือประเทศอื่นๆ เช่น พม่า เพื่อทำพิธีศุลกากรให้ครบถ้วนเท่านั้น

                ขบวนการเหล่านี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างนายทุนไทย-มาเลเซีย และ เจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะ “ศุลกากร” เพราะ การ “สำแดงเท็จ” ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่รวมมือด้วย เช่นเดียวกับการ “สำแดงเท็จ” การส่งไม้ “พะยูง” ที่สำแดงว่าเป็นไม้ยางพารานั่นเอง

                ทั้งหมด คือ การนำเอา “วิกฤติ” ของประเทศชาติ เพื่อเป็น “โอกาส” ของเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่รุนแรงที่สุดในยุคที่พรรค “ประชาธิปัตย์” เป็นผู้บริหารประเทศ และน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่หลังจากพรรค “เพื่อไทย” ขึ้นมาเป็นรัฐบาล “ส่วย” เหล่านี้ยังคงดำรงอยู่

                เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงผู้เก็บ “ส่วย” และ ผู้รับ “ส่วย” ในส่วนกลาง อันสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่านักการเมือง “ซีกไหน” เข้ามาบริหารประเทศ สิ่งแรกที่พวกเขาทำ คือ “ผลประโยชน์” ของตนเอง ส่วนผลประโยชน์ชองประเทศชาติ เป็นเพียงนโยบาย “หรูหรา” ในการ “หาเสียง” เพื่อหลอกลวง “ประชาชน” เท่านั้น

ไชยยงค์ มณีพิลึก  : รายงาน