Hot Stories
Home   /   Hot Stories  /    "วาเด็ง ปูเต๊ะ"พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี เสียชีวิตด้วยวัย 96 ปี

"วาเด็ง  ปูเต๊ะ"พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี เสียชีวิตด้วยวัย 96 ปี

            สำนักข่าวอะลามี่: "วาเด็ง  ปูเต๊ะ"พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักด้วยวัย 96 ปี เผยก่อนสิ้นใจได้ฝากให้ลูกหลานสานต่อเจตนารมณ์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงยึดทำตามพระราชดำรัสของในหลวง ดูแลผลไม้นำขึ้นทูลเกล้าฯในหลวงทุกปี เหมือนตนมีชีวิตอยู่

              เมื่อเวลา  14.00 น. วันนี้  (7 สิงหาคม 2555)  นายวาเด็ง  ปูเต๊ะ  พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 96 ปี  ณ  บ้านเลขที่ 64 ม.5 ต.บ้านบาเลาะ ต.ปะเสยาวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี  ด้วยโรคชรา  โดยมีพิธีอาบน้ำศพที่บ้านพัก พร้อมทั้งนำศพทำพิธีละหมาด ที่มัสยิดนูรุลฮูดา  และ ทำพิธีฝั่งศพ ณ สุสาน ม.4 บ้านทุ่งเค็จ  ต .ปะเสยาวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี 

             โดยมีนายธีระ มินทราศักดิ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี  พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และ ประชาชนนับพันคนที่ได้รับทราบข่าวมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียนใจของบรรดาผู้ที่คลุกคลีกับลุงวาเด็ง

             นายธีระ มินทราศักดิ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี  เปิดเผยว่า  เสียใจต่อการเสียชีวิตของนักพัฒนาพระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี  นับเป็นบุคคลตัวอย่างที่คนรุ่นหลังควรนำไปเป็นแบบอย่าง  ในส่วนนี้ทางจังหวัดจะประสานไปยังสำนักพระราชวัง  เพื่อดำเนินการขอดินพระราชทาน  ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญและเป็นพระสหายของในหลวงที่เป็นนักพัฒนา  และเจริญรอยตามพระยุคลบาทด้านเศรษฐกิจพอเพียง  ส่งผลให้คุณชีวิตของประชาชนหมู่บ้านดังกล่าวดีขึ้น

              นายมะไซนุง  ดอรอแม ลูกเขย ผู้ดูแลพระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรีในขณะมีชีวิตอยู่ เปิดเผยว่า  ก่อนที่ นายวาเด็ง ปูเต๊ะ  จะเสียชีวิต ท่านได้ฝากให้ตนสานต่อเจตนารมณ์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แนะนำเยาวชนรุ่นหลังให้ทำตามพระราชดำรัสของในหลวง  ให้ดูแลผลไม้พื้นเมืองประจำถิ่น  เช่น ทุเรียน  ลองกอง จำปาดะ  และนำขึ้นทูลเกล้าฯในหลวงทุกปีอย่างที่ นายวาเด็ง ปูเต๊ะ  ยังมีชีวิตอยู๋   

              นายมะไซนุง ได้เล่านาทีตอนที่ท่ายเสียชีวิตว่า ช่วงนั้นท่านบ่นเจ็บหน้าอก จากนั้นขอน้ำจากตนหลังจากที่ตนให้ลุงวาเด็งและได้ดื่ม ก่อนที่ท่านค่อยๆล้มตัวลงนอนพร้อมกับการพระนามของพระเจ้า จากนั้นท่านก็สิ้นใจด้วยความสงบทันที

             สำหรับประวัติ วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งลุ่มน้ำสายบุรี เป็นชาวมุสลิม  อาชีพทำสวนผลไม้ ได้แก่ ทุเรียน ลองกอง จำปาดะ เงาะ และมะพร้าว เป็นต้น และเลี้ยงโค อยู่บ้านเลขที่ 64   หมู่  5  บ้านบาเลาะ  ต. ปะเสยะวอ  อ. สายบุรี  จ. ปัตตานี  มีภรรยาชื่อ นางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ

              วาเด็ง ปูเต๊ะ กับเรื่องราวการเป็นพระสหาย ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2535 ในครั้งนั้นพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และมีรับสั่งต้องการพบตัว วาเด็ง ปูเต๊ะ เพื่อสอบถามเรื่องการสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี

            ในขณะนั้น วาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้ซึ่งเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่ง เขาสวมโสร่ง และไม่ได้ใส่เสื้อ เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ เพราะคิดว่า เจ้าหน้าที่ที่มาตามเขาถึงสองครั้งสองคราอาจจะโกหก เพราะเขาไม่เชื่อว่า ในหลวงฯจะเสด็จมาในป่าเขาจริง ๆ จนกระทั่งได้พบพระองค์แล้ว แต่ "วาเด็ง ปูเต๊ะ" ก็ยังไม่แน่ใจ ต้องหยิบธนบัตรขึ้นมาดู จึงจะเชื่อว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

              หลังจากนั้น ในหลวง ก็ตรัสกับ วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นภาษามลายูว่า จะสร้างคลองชลประทานให้ เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร พระองค์ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลองสายทุ่งเค็จว่ามีเขตติดต่อที่ไหนบ้าง ซึ่ง "วาเด็ง ปูเต๊ะ" สามารถตอบได้ทุกคำถาม ถูกต้องตามแผนที่ที่พระองค์ทรงมีอยู่ จึงตรัสชมว่า วาเด็ง ปูเต๊ะ เป็นคนรู้จริง รู้จักพื้นที่ เพราะในการจะไปช่วยใครที่ไหน จำเป็นต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น

            วันรุ่งขึ้น ในหลวง ก็ตรัสให้ "วาเด็ง ปูเต๊ะ " เป็นคนพายเรือให้พระองค์นั่งสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ โดยตรัสให้ทำตัวตามสบาย และเล่าถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ พร้อมกันนี้ ในหลวง ยังทรงลองใจ "วาเด็ง ปูเต๊ะ" ด้วยการตรัสขอที่ดินทำโครงการพระราชดำริ ซึ่ง "วาเด็ง ปูเต๊ะ" ก็ออกปากยกที่ดินถวายให้กับพระองค์ในทันที ด้วยความเป็นคนซื่อตรง ในหลวง จึงมีพระราชดำรัสให้เป็น “พระสหายแห่งสายบุรี” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

         วาเด็ง ปูเต๊ะ เคยเล่าว่า ยามที่ ในหลวง เสด็จฯ มาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็จะมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้ง และมอบเงินให้ครั้งละหลายหมื่นบาท แต่หากไม่ได้เสด็จฯ มา ก็จะทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง

           ล่าสุด ยังตรัสให้ตนหยุดทำงาน เพราะแก่แล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพ ซึ่งตนก็มักจะนั่งทบทวนคำตรัสของพระองค์ด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจอยู่ตลอดเวลา

: ปาเรซ  โลหะสัณห์   รายงานจากจังหวัดปัตตานี