Inside Asia
Home   /   Inside Asia  /   ทูตปากีสถานเรียกร้องยุติความขัดแย้งแคชเมียร์

ทูตปากีสถานเรียกร้องยุติความขัดแย้งแคชเมียร์

                  สำนักข่าวอะลามี่ : เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทย เรียกร้องผ่านสื่อไทย ขอให้สหประชาชาติช่วยยุติความขัดแย้งแคชเมียหลังสื่อเค้าว่าจะปะทุเป็นสงครามระหว่างปากีสถาน-อินเดีย

                พื้นที่แคว้นจัมมูร์และแคชเมียร์ ในเอเชียใต้ นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ความขัดแย้งสำคัญของโลก ระหว่างปากีสถานและอินเดีย โดยปากีสถาน ครอง 1 ใน 3 และอินเดีย ครอง 2 ใน 3 แบ่งเขตกันบริหาร

               แม้คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี เคยออกมติมาตรา 47 เมื่อปี พ.ศ.2491 ให้การรับรองสถานะขั้นสุดท้าย หรือ การตัดสินใจว่าแคชเมียร์จะอยู่กับปากีสถานหรืออินเดีย จักเป็นหน้าที่ของชาวแคชเมียร์เอง ผ่านการจัดประชามติภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ แต่เวลาก็ผ่านมาแล้ว 71 ปี ยังไม่มีความคืบหน้า เกิดสงครามและการปะทะระหว่างปากีฯ-อินเดียหลายต่อหลายครั้ง

             และไม่นานมานี้สถานการณ์ได้ตึงเครียดอีกครั้ง หลังรัฐบาลอินเดียประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 370 เรื่องการรับรองสถานะพิเศษในการบริหารตนเองของแคชเมียร์ ที่อาจเปิดช่องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสถิติประชากร เพราะมาตรานี้แต่ก่อนห้ามชาวอินเดียครอบครองที่ดินหรือตั้งรกรากในแคชเมียร์

              เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 นายอะศิม อิฟติคัร อะห์มัด (H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad ) เอกอัครราชทูตปากีสถาน ประจำประเทศไทย แถลงข่าวต่อสื่อไทย ณ สำนักงานสถานเอกอัครราทูตปากีสถาน ประจำกรุงเทพฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่แคชเมียร์ ว่า การกระทำของอินเดียเป็นการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว มิชอบด้วยกฎหมายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและมติสหประชาชาติ อีกทั้งยังละเมิดสนธิสัญญาเจนีวามาตรา 49 ว่าด้วยการห้ามขนย้ายประชากรของตนเองเข้าตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ยึดครอง

              ทั้งนี้ อินเดีย จะต้องยุติการใช้กำลังทหารและอาวุธ ที่มีผลต่อพลเรือนรวมถึงผู้หญิงและเด็ก โดยยึดคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี เคยออกมติมาตรา 47 เมื่อปี พ.ศ.2491 ให้การรับรองสถานะขั้นสุดท้าย หรือการตัดสินใจว่าแคชเมียร์จะอยู่กับปากีฯหรืออินเดีย จักเป็นหน้าที่ของชาวแคชเมียร์เอง ผ่านการจัดประชามติภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ

             อย่างไรก็ตาม เวลาก็ผ่านมาแล้ว 71 ปี ยังไม่มีความคืบหน้า ก่อให้เกิดสงครามและการปะทะระหว่างปากีฯ-อินเดียหลายต่อหลายครั้ง

             H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสถานการณ์และความขัดแย้งในแคชเมียร์ ได้รับการยอมรับระดับนานาชาติแล้ว ไม่สามารถคลี่คลายลงได้ในระยะอันสั้น อีกทั้งยังจะนำไปสู่สถานการณ์ใกล้สงครามระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ไม่ใช่ปัญหาภายในประเทศ เหมือนที่อินเดียกล่าวอ้าง

            อย่างไรก็ตามสถานการณ์แคชเมีย วันนี้ แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามหากมีความตึงเครียดมากขึ้น และทั้งสองประเทศต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ หากรัฐบาลอินเดียยกเลิกประกาศเคอร์ฟิวและถอนทหารออกจากพื้นที่แคชเมียร์ ก็จะมีการเจรจาเพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติและสร้างความสัมพันธ์ตามเดิม

            ท่านทูตปากีสถานย้ำว่า มันจําเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียกร้องความปลอดภัยจากสหประชาชาติ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ และ HRC  และขอให้ประชาคมโลกหามาตรการกดดันอินเดียให้คืนเสรีภาพแก่ชาวแคชเมียร์ทันที อย่างไรก็ตาม ปากีสถาน ก็จะยังคงดําเนินทางการเมือง บนพื้นฐานของจริยธรรม และการทูตต่อไป

              H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad  ย้ำว่า ปากีสถานพร้อมเสมอที่จะรับความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขสถานการณ์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาคมโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองคู่ขัดแย้ง ควรตระหนักถึงปัญหา และมีบทบาทในการยับยั้งสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามและเกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้